ANTIG 6
หน้าร้าน ©ANTIG 6 : พิมพ์คำว่า ANTIG ตามด้วยตัวเลข เช่น ANTIG 1 หรือ ANTIG 18 , ANTIG 102 ท่านจะพบกับร้านค้าของเรา


ชื่อวัตถุมงคล : 137 พระวังคีสเถระ พราหมณ์ผู้เคาะกะโหลกทายแดนเกิด "เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ"
ประเภท : เปิดให้บูชา
: รายละเอียด :

พระวังคีสเถระ พราหมณ์ผู้เคาะกะโหลกทายแดนเกิด "เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ"

"ธรรมะในวัด"
เคาะกระโหลกพระอรหันต์ แล้วจนปัญญา

พระวังคีสะ เกิด ในตระกูลพราหมณ์ นครสาวัตถี ได้รับการศึกษาจบไตรเพท จนมีความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงให้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่งชื่อว่า "ฉวสีสมนต์" ซึ่ง เป็นมนต์เครื่องพิสูจน์ศีรษะซากมนุษย์แม้จะตายไปแล้วถึง ๓๐ ปี โดยใช้นิ้วเคาะหรือดีดที่ศีรษะหรือกะโหลกของศพ ก็จะรู้ว่าเจ้าของศีรษะหรือกะโหลกนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร เกิดที่ไหน ท่านมีความเชี่ยวชาญในมนต์นี้มาก จึงได้อาศัยมนต์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีพ และเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือมากขึ้น



รับจ้างดีดกะโหลก

ต่อมา เขาได้ตั้งเป็นคณะ มีผู้ร่วมงานทำกันเป็นระบบ มีการโฆษณาชักชวนให้คนมาใช้บริการ และตระเวนทั่วไปตามเมืองต่างๆ

ด้วย วิธีการอย่างนี้ ประชาชนได้นำหัวกะโหลกของญาติที่ตายไปแล้วมาให้พิสูจน์กันมากมาย ชาวคณะของวังคีสะได้รับสิ่งตอบแทนหลากหลาย ซึ่งมีทั้งสิ่งของและเครื่องใช้สอยต่างๆ รวมทั้งอาหารและเงินทองจำนวนมาก ทำให้มีฐานะร่ำรวยขึ้น พวกเขาได้ท่องเที่ยวไปตาม เมืองต่างๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถี พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากประตูพระเชตวันมหาวิหารมากนัก ได้เห็นประชาชนถือดอกไม้และเครื่องสักการะไปยังวัดพระเชตวัน จึงถามว่า "ท่านทั้งหลาย จะไปไหนกัน?"

"พวกเราจะไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน" พุทธบริษัทตอบ

"ท่านทั้งหลายมาหาวังคีสะดีกว่า เพราะท่านสามารถรู้ว่าคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นอะไร ไปเกิดที่ไหน" พวกคณะของวังคีสะชักชวน

"ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของพวกเราได้หรอก" พุทธบริษัทแย้งขึ้น

การ โต้ตอบกลายเป็นการโต้เถียงเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่เป็นที่ยุติ กลุ่มของวังคีสะจึงตามไปที่พระเชตวันมหาวิหาร เพื่อพิสูจน์ความสามารถว่า ใครจะเหนือกว่ากัน พระพุทธองค์ทรงทราบวัตถุประสงค์ของกลุ่มวังคีสะได้ดี จึงรับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา ๕ กะโหลก คือ.-

๑. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในนรก

๒. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในสวรรค์

๓. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

๔. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นมนุษย์

๕. กะโหลกของพระอรหันต์

เมื่อได้กะโหลกศีรษะมาครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบดูว่า เจ้าของกะโหลกเหล่านั้นไปเกิดที่ไหน

วังคีสะเคาะ กะโหลกเหล่านั้นมาตามลำดับ และทราบสถานที่ไปเกิดถูกต้องทั้ง ๔ กะโหลก แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้าย ซึ่งเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ ไม่สามารถจะทราบได้ ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของกะโหลกว่าไปเกิดที่ไหน จึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า .-

"วังคีสะ เธอไม่รู้หรือ?"
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ พระเจ้าข้า"
"วังคีสะ ตถาคตรู้"
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบด้วยมนต์อะไร พระเจ้าข้า"
"ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง"


บวชเพื่อเรียนมนต์

ลำดับนั้น วังคีสะได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับจะสอนมนต์นั้นให้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้เรียนจะต้องบวชจึงจะสอนให้ วังคีสะคิด ว่า ถ้าเรียนมนต์นี้จบแล้วก็จะไม่มีผู้เทียมเท่าได้เลย จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้น รออยู่สัก ๒-๓ วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะกันต่อไป

เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานพระกรรมฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ รับสั่งให้สาธยายท่องบ่นบริกรรมพร้อมทั้งพิจารณาไปด้วย ฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง วังคีสะก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ โดยเวลาล่วงไปไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศานสา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่า ท่านไม่หวนกลับสึกออกมาประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของตนๆ


ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ

พระ วังคีสะ เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคครั้งใด ก็จะกล่าวสรรเสริญพุทธคุณบทหนึ่งอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีปฏิภาณ คือ ความสามารถในการผูกบทกวีคาถา

ท่านดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.

ที่มา
http://www.madchima.org/madchima/index2.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=84

เคาะกะโหลกทายแดนเกิด?
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7214 ข่าวสดรายวัน

โลกนี้ไม่สิ้นกลิ่นธรรม
ศิษย์อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก - พิศุทธิ์ เกรียงบูรพา


ใน ครั้งพุทธกาล ยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง ก่อนบวชในพระพุทธศาสนายังมีคนเลื่อมใสมาก เพราะท่านสำเร็จฌานและได้อภิญญา มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ สามารถเคาะหัวกะโหลกคนตายแล้วรู้ว่าไปเกิดเป็นอะไร อยู่ในคติไหนได้

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความลำพอง คิดไปเองว่าตนนั้นบรรลุธรรมขั้นสูงเหนือผู้ใดในชมพูทวีป ด้วยความแม่นยำในการทายแดนเกิดด้วยการเคาะกะโหลกของพราหมณ์นั้น นับวันยิ่งพาให้ศรัทธามหาชนวนเวียนมากราบไหว้บูชาจากทุกสารทิศ ขอให้ท่านทายว่าญาติของตนตายแล้วไปไหนอย่างมากมายไม่เว้นแต่ละวัน เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่แห้งเลย

ความรู้มาถึงพระพุทธเจ้า หลังจากพระองค์ทรงตรวจดูด้วยญาณแล้ว ก็เห็นศักยภาพของพราหมณ์ผู้มีอินทรีย์แก่กล้านี้ ว่าสามารถบรรลุอรหัตผลได้ในชาตินี้ แต่กำลังหลงทาง เล่นฤทธิ์ มัวเคาะกะโหลกคนเป็นอาชีพ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ เพราะมัวไปทำในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อการเข้าถึงพระนิพพาน ซ้ำยังอาจพาให้หมู่ศรัทธาญาติโยมหลงงมงายไปตามกัน ด้วยอยากจะรู้กันแต่ว่าตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปไหน ไม่มีใครสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่หยุดเกิด หยุดตายกันเลย

จึงให้คนไปเชิญ พราหมณ์ท่านนี้มาอย่างท้าทายนิดหน่อย ว่ามีกะโหลก ๕ ใบให้ทาย รับรองว่าพราหมณ์ไม่สามารถทายได้ครบ พราหมณ์จึงรับคำท้า เมื่อมาถึงกุฏิพระพุทธเจ้าก็มีกะโหลก ๕ ใบถูกเรียงไว้พร้อม พราหมณ์ผู้มีวิชาเคาะกะโหลกจึงเริ่มเคาะตั้งแต่ใบแรก แล้วก็ทาย...

"ไม่ ยากเลย กะโหลกผู้นี้อยู่ในโลกมิเคยสร้างกรรมดี ทำแต่ความชั่วโดยไม่ยำเกรงใคร นรกภูมิคือที่ไปเกิดของมัน, ส่วนใบที่สอง ไปเกิดเป็นเปรต เพราะความโลภที่ตนเองคอร์รัปชั่นโกงกินทั้งโดยตรงและเชิงนโยบายมาทั้งชีวิต, ใบที่สาม คนผู้นี้เป็นคนรักษาศีลเคร่งครัด ประกอบกรรมดีมาก ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก, ส่วนใบที่สี่ คนผู้นี้จิตใจดีมีเมตตามาก มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดาเดินดิน มีหริโอตตัปปะเป็นธรรมะประจำตัว สุดท้ายได้ไปเกิดเป็นเทวดา..."

แล้วพราหมณ์ก็ทายถูกเรื่อยมา จนมาถึงกะโหลกใบสุดท้าย

"...ใบ นี้ เอ้อ...ทำไมข้าถึงไม่เห็นแดนเกิดของเจ้าของกะโหลกผู้นี้เลย...โอ้ เป็นไปได้อย่างไรกัน ตั้งแต่ข้าเคาะกะโหลกคนมาหลายปีไม่เคยมีกะโหลกไหนที่ข้าทำนายแดนเกิดไม่ได้ แม้แต่ใบเดียว"

พระพุทธองค์ตรัสว่า ท่านรู้

"ท่านพราหมณ์ เจ้าของกะโหลกผู้นี้ไม่มีที่ที่จำเป็นต้องไปเกิดอีกแล้ว ท่านจึงไม่อาจมองเห็นอะไรได้ เราเรียกว่าท่านบรรลุอรหัตผล บรรลุโลกุตรธรรมขั้นสูงสุด ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้วในชาติปัจจุบัน"

พราหมณ์ถาม

"ท่านมีวิชาที่จะสอนให้ข้าทายกะโหลกพระอรหันต์เช่นนั้นได้ด้วยหรือ?"

(ยังจะสนใจวิชาทายกะโหลกอรหันต์อยู่...ไม่สนใจการบรรลุอรหัตผล)

พระ พุทธเจ้าทรงบอกว่าจะสอนให้ถ้าออก บวช พราหมณ์จึงยอมบวช แต่ก็แอบคิดไม่ซื่อในใจ ว่าเมื่อสำเร็จวิชานี้แล้วจะสึก (คงจะปิดบังพระพุทธเจ้าสำเร็จหรอก?) หลังบวชเป็นพระสงฆ์ได้ฉายาว่า "พระวังคิสะเถระ" พระพุทธองค์ทรงให้ท่านท่องบริกรรมกายคตาสติ คือ พิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อกระดูก ฯลฯ ด้วยอินทรีย์ที่แก่กล้าของพระวังคิสะเถระ เพราะได้ฌานมาตั้งแต่เป็นพราหมณ์ จึงพิจารณากรรมฐานตามที่พระองค์ตรัสสอนไป ไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ (เป็นอันว่าเลิกคิดเรื่องจะสึกไปโดยปริยาย)

ท่าน จึงเลิกเล่นวิชาเคาะกะโหลกไปทันที ทั้งได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกต่างๆ นอกจากนั้นท่านวังคิสะเถระยังสามารถแสดงปฏิภาณโวหารและพระคาถาได้อย่างงดงาม มากมาย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า

"คาถาเหล่านี้ท่านวังคิสะคิดไว้ก่อนแล้วหรือคิดเดี๋ยวนี้เอง"

ท่านตอบว่า

"ข้าพระองค์ได้คิดเดี๋ยวนี้เอง"

พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศฝ่ายปฏิภาณ สามารถพูดเป็นกาพย์ กลอนสดได้ กวี นักพูด และนักประพันธ์ เมื่อท่านวังคิสะเถระถึงกาลดับขันธ์ลงปรากฏว่ากระดูกของท่านกลายเป็นพระธาตุ มีสัณฐานดังเมล็ดน้อยหน่าตัด อันเป็นเครื่องพิสูจน์การถึงแล้วซึ่งอรหัตผลของท่านจริง

ควรบูชาท่านอย่างยิ่ง

บูชา : 400 บาท
ข้อมูลการติดต่อ : อุดร เหลืองวิชชเจริญ
093-2480159 ang7kong@gmail.com
จำนวนผู้เปิดชม : 1347 ครั้ง
โพสเมื่อ : 2012-02-14 20:56:22
ปรับปรุงล่าสุด : 2012-02-14 20:57:22
Share ข้อมูล :
สอบถามเกี่ยวกับวัตถุมงคลนี้
ชื่อผู้โพส
E-mail
โทรศัพท์
ข้อความ
Code ยืนยันการโพสโค้ดยืนยันการโพส
ชื่อร้าน : ANTIG 6
โดย : อุดร เหลืองวิชชเจริญ
ที่อยู่ติดต่อ : 491 หมู่ที่ 7 ต.สมอเเข อ.เมือง จ. พิษณุโลก 65000
หมายเลขโทรศัพท์ : 093-2480159
E-Mail ติดต่อ : ang7kong@gmail.com
URL ของร้าน : http://antigpra.com/shop/starwars/
 ธนาคารกสิกรไทย :   สาขา ถนนสายเอเซีย  
ประเภทบัญชี : ออมทรัพย์/สะสมทรัพย์
ชื่อบัญชี : อุดร เหลืองวิชชเจริญ  
หมายเลขบัญชี : 4032253429